พิมพ์ชื่อผู้ถวายพระไตรปิฎก
พิมพ์หนังสือธรรมะ แจกเป็นธรรมทาน ราคาโรงพิมพ์ธรรมทาน เบาะรองนั่งสมาธิ สถานที่ตั้ง ศูนย์จำหน่ายพระไตรปิฎก


#ฐานรองพระไม้สัก #แท่นวางพระ #โต๊ะวางพระพุทธรูป #รับสั่งทำฐานพระ #ฐานวางพระ #ฐานพระบูชา #แท่นวางพระ #ฐานพระพุทธรูป #ฐานรองพระบูชา #ฐานรองพระพุทธรูป #ฐานวางพระพิฆเนศ #แท่นรองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ #ฐานเสริมองค์พระพุทธรูป
กิจกรรม ภาพการจัดส่งพระไตรปิฎก ทั่วประเทศ

บริจาคเงิน COVID

หนังสือพระไตรปิฎก ภาษาไทย 91 เล่ม ครบสมบูรณ์

เกร็ดความรู้ เกี่ยวกับพิธีการทำบุญและอนุโมทนาวิธี

พระพุทธรูปปางสมาธิ พระพุทธรูปปางชนะมาร และพระพุทธรูปแบบต่างๆ

หนังสือธรรมโฆษณ์ ของหลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ ครบชุด 81 เล่ม
ตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม 
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดี
ตู้พระไตรปิฎก 91 เล่ม ไทย

ป้ายอลูมิเนียมอย่างดี สีทอง ติด บนตู้พระไตรปิฎก

หรือ บนกล่อง-หีบ-บรรจุพระคัมภีร์ต่างๆ ในราคาโรงงาน 700 บาท
กลุ่มหนังสือสำหรับพระภิกษุ
พระไตรปิฎก-แบบเรียน-นักธรรม-ตรี-โท-เอก



ศูนย์จัดส่งตู้และหนังสือพระไตรปิฎก
ไตรลักษณ์ตั้งอยู่เลขที่ 19/10 
หมู่3 ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม

ศูนย์จัดส่งตู้และหนังสือพระไตรปิฎก
ไตรลักษณ์
ตั้งอยู่เลขที่ 19/10
หมู่3 ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม
(ฝั่งเดียวกันกับ พุทธมณฑลองค์พระ)
ในซอยวัดญาณเวศกวัน เปิดบริการทุกวัน
ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น.

086-461-8505,
087-696-7771,


E-mail : trilak_books@yahoo.com



#และเพื่อความรวดเร็วในการสนทนา
ช่องทางการติดต่อทาง/ #สั่งซื้อทางLine
~สั่งพิมพ์หนังสือเพื่อแจกเป็นธรรมทาน
~สั่งชุดพระไตรปิฎกแบบต่างๆ

👨🏻‍💻 #LINE : @trilakbooks
หรือกดที่ ลิงค์ add Line ด้านล่างได้เลยครับ

https://
line.me/R/ti/p/%40trilakbooks

หนังสือแบบเรียนนักธรรม สำหรับพระภิกษุสงฆ์และสามเณร


การสั่งสินค้าและผลิตภัณฑ์

สำหรับท่านที่ประสงค์จะสั่ง ตู้พระไตรปิฎก
และหนังสือพระไตรปิฎก
หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ

สามารถ ทำได้ดังนี้ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

ได้ที่

087-696-7771 086-461-8505
หรือส่ง mail มาที่

trilak_books@yahoo.com


#และเพื่อความรวดเร็วในการสนทนา
ช่องทางการติดต่อทาง/ #สั่งซื้อทางLine
~สั่งพิมพ์หนังสือเพื่อแจกเป็นธรรมทาน
~สั่งชุดพระไตรปิฎกแบบต่างๆ

👨🏻‍💻 #LINE : @trilakbooks
หรือกดที่ ลิงค์ add Line ด้านล่างได้เลยครับ
https://line.me
/R/ti/p/%40trilakbooks



1.เขียน ชื่อ ผู้ติดต่อ + เบอร์ติดต่อกลับ

2.ชื่อตู้พระไตรปิฎก (หรือแนบภาพ)

3.แจ้งชื่อหนังสือพระไตรปิฎก (หรือแนบภาพ)

4. หากมีข้อความ แทรก ผู้จัดพิมพ์ถวายหนังสือฯ
สามารถแนบมาได้ในคราวเดียวกัน

5.สถานที่จัดส่ง แบบละเอียดเพื่อให้ศูนย์หนังสือฯ
ประเมินค่าจัดส่งได้ต่อไป
ซึ่งจัดส่งโดยบริษัทขนส่งที่พร้อมดูแล
จัดส่งได้ทั่วประเทศ

 

พิมพ์หนังสือธรรมะ, หนังสือที่ระลึก,

ดำเนินการจัดส่งตู้และหนังสือพระไตรปิฎกทั่วไทย
โดยศูนย์หนังสือไตรลักษณ์
ดำเนินการจัดส่งตู้และหนังสือพระไตรปิฎกทั่วไทย
โดยศูนย์หนังสือไตรลักษณ์

..........................................................
หนังสือพุทธธรรม-700บาท


หมวดหมู่ผลิตภัณฑ์


หนังสือพระไตรปิฎกทุกแบบ


หนังสือพระไตรปิฎก 45 เล่ม
ภาษา ไทย ราคา 15,000.-


หนังสือพระไตรปิฎก 91 เล่ม
ภาษา ไทย ราคา 25,000.-


หนังสือพระไตรปิฎก ฉบับ ส.ธรรมภักดี จำนวน 100 เล่ม

ภาษาไทย ราคา 18000 บาท (ยังไม่รวมค่าจัดส่งทั่วไทย)
หนังสือพระไตรปิฎก 100 เล่ม ส.ธรรมภักดี
(ภาษาไทย) ราคา 18,000.-


อรรถกถาภาษาไทย (มจร)
อรรถกถาภาษาไทย (มจร)


หนังสือพระไตรปิฎก สยามรัฐภาษาไทย
ราคามูลนิธิ 15500 บาท

หนังสือพระไตรปิฎก 45 
ภาษาบาลี ราคา 13,000.-
หนังสือพระไตรปิฎก 45 เล่ม
ภาษาบาลี อักษรไทย ราคา 13,000.-


พระไตรปิฎก ฉ. ประชาชน (ไทย)
1 เล่มจบ ย่อจาก 45 เล่ม บาลี 500.-



หนังสือคัมภีร์วิสุทธิมรรค แปลไทย

หนังสือวิมุตติมรรค ทางแห่งความหลุดพ้น

เล่าไว้เมื่อวัยสนทยา

หนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับขยาย ราคาเล่มละ 700 บาท
พุทธธรรมฉบับปรับขยาย (ล่าสุด)


แบบตู้พระไตรปิฎกทั้งหมด

ตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม 
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดี
ตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม 
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดีตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม 
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดีตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม 
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดี
ตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม 
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดีตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม 
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดี
ตู้พระไตรปิฎก 45 เล่ม
ไทย/บาลี/ส.ธรรมภักดี



ตู้พระไตรปิฎก 91 เล่ม ไทย



ตู้พระไตรปิฎก 91 เล่ม ไทย



ตู้พระไตรปิฎก ฉบับแก่นธรรม

 



ตู้หนังสือ ทั่วไป

 

 

ชุดพระมาลัยคัมภีร์แผ่นพับ พร้อมกล่องบรรจุลงรักปิดทองทั้งหลัง ราคา 6500 บาท
ชุดพระมาลัยคัมภีร์แผ่นพับ พร้อมกล่องบรรจุลงรักปิดทองทั้งหลัง ราคา 6500 บาท



หีบบรรจุ พร้อมกับ
คัมภีร์ พระมาลัย (พระอภิธรรม) 5,000.-

ชุด พระคัมภีร์ ใบลาน เทศน์มหาชาติ ธรรมวัตร 

ราคา ทั้งชุด 4,700.- บาท

(ยังไม่รวมค่าจัดส่งทั่วไทย โดยบริษัทขนส่งทั่วประเทศ)
หีบบรรจุ
คัมภีร์ ใบลานมหาชาติ ธรรมวัตร 4,700.-



หีบบรรจุ
คัมภีร์ ใบลานมหาชาติ ทำนองภาคกลาง
สำหรับ วัดพระอารามหลวง 5,000.-


ชุด พระคัมภีร์ ใบลาน เทศน์มหาชาติ ภาคอีสาน ราคา ทั้งชุด 5,000.- บาท

(ยังไม่รวมค่าจัดส่งทั่วไทย โดยบริษัทขนส่งทั่วประเทศ)

หรือ ที่เรียกว่า ลำมหาชาติ เป็น เทศน์มหาชาติภาคอีสาน 
ที่บรรจงสรรสร้างขึ้นจากใบลานริมทอง แท้ อย่างดี

พร้อมหีบบรรจุ แบบลงรักปิดทองสวยงาม ทำให้ผู้ที่สนใจศึกษา
หรือจะถวายพระภิกษุ ในงานพิธีสงฆ์ มีความรู้สึกปลาบปลื้มยินดี
ที่จักได้รับ พระคัมภีร์ชุดนี้ ไว้ศึกษาต่อไป
หีบบรรจุ
คัมภีร์ ใบลานมหาชาติ มหาชาติ
ลำมหาชาติ (ภาคอีสาน) 5,000.-


ต้นไม้ตรัสรู้-งานหัตถกรรมจากเนื้อโลหะ-ลงรักปิดทอง
 
ดอกบัว-ลงรักปิดทอง-ประดับกระจกคละสี-2200บาท
ใบโพธิ์ทอง

ใบโพธิ์สีทอง

 
 
 
 
 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

บทความธรรมะ เรื่อง หาสุขได้จากทุกข์ โดย หลวงพ่อพุทธทาส

หาสุขได้จากทุกข์
พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ

คำนำ
ความทุกข์เป็นสิ่งที่ทุกชีวิตไม่ปรารถนา ดังคำกล่าวว่า ทุกชีวิตล้วนแต่รักสุขเกลียดทุกข์ แต่ความทุกข์ก็เป็นสิ่งธรรมดาในชีวิต ไม่มีชีวิตใดไม่ประสบทุกข์โดยทางร่างกายและจิตใจ ต่างแต่ว่าบางชีวิตเป็นทุกข์มาก บางชีวิตเป็นทุกข์เล็กน้อย และในกรณีที่มีสติปัญญา บุคคลสามารถเรียนรู้จักธรรมชาติของความทุกข์ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น จนมีความเข้าใจและสามารถแก้ไขป้องกันความทุกข์ได้ตามสมควร ความทุกข์จึงกลับกลายเป็นประโยชน์เพราะก่อให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจขึ้น บุคคลที่ไม่เห็นทุกข์จะไม่เกิดศรัทธาในธรรม จึงถลำจมอยู่ในความทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่วิสัยของผู้มีปัญญาไม่ประมาทย่อมขวนขวายหาทางพ้นทุกข์ด้วยความพากเพียร ดังพุทธภาษิตว่า ìบุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียรî ยิ่งกว่านั้น ìผู้มีปัญญาย่อมสามารถแสวงหาความสุขได้จากทุกข์î เพราะรู้จักคิดรู้จักมองและหยิบฉวยประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการที่ความทุกข์นานาชนิดมาเตือนมาสอน จนได้ปัญญาความเข้าใจถึงที่สุดและได้รับความสุขที่แท้จริงจากความไม่ยึดมั่นถือมั่น โดยอาศัยสติปัญญาของ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความทุกข์ทั้งหลาย สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นความสุขได้ การเห็นความทุกข์ ทำให้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
คือ พระธรรม

พระธรรมเทศนาเรื่อง หาสุขได้จากทุกข์ นี้ ช่วยชี้แนวทางการมองและดำเนินชีวิตดังกล่าวให้แก่สาธุชน จึงเป็นพระธรรมเทศนาที่มีประโยชน์มาก ควรที่จะได้อ่านและใคร่ครวญอย่างดี หนังสือนี้เคยจัดพิมพ์อยู่ในชุดลอยปทุมอันดับที่ ๗๒ และขาดคราวไปนานแล้ว จึงได้จัดพิมพ์เฉพาะเรื่องนี้ขึ้นใหม่และได้คัดเรื่อง ìดับไม่เหลือî ซึ่งเป็นบทสุดท้ายมาผนวกไว้ตอนท้ายเล่มเพื่อเสริมให้เข้าใจแนวทางปฏิบัติได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หวังว่าคงอำนวยประโยชน์แก่การศึกษาและปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี
ด้วยความปรารถนาดี

--------------------------------------------------

สารบัญ (หัวข้อเรื่อง)

หาความรู้ได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์
ความเป็นทุกข์ของสังขาร
ฝึกเอาความทุกข์มาเป็นบทเรียน
เปลี่ยนความทุกข์มาเป็นสิ่งมีประโยชน์เสีย
ธรรมะที่แก้ปัญหาได้ คือสติ
ศึกษาพระสูตร พระวินัย จะเข้าใจคำสอน
ความทุกข์ช่วยให้เกิดศรัทธา
ความดับไม่เหลือ

หาสุขได้จากทุกข์

 

--------------------------------------------------
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ

ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะ - ความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้า ในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา

ธรรมเทศนาเนื่องในการเข้าพรรษาในวันนี้นั้น เป็นธรรมเทศนาที่มุ่งหมาย จะให้เกิดความไม่ประมาท แก่ท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท; ดังที่ได้ทำความเข้าใจ ในเรื่องนี้มาตามลำดับแล้วแต่วันก่อน ๆ ในวันนี้ก็ยังเป็นธรรมเทศนาที่มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือว่า ตลอดกาลจำพรรษานี้ เป็นเวลาที่พุทธบริษัทตั้งใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นวัตรปฏิบัติของตน ให้ดีเป็นพิเศษ ให้สม่ำเสมอเป็นพิเศษ สมกับที่เป็นวันเข้าพรรษา.
________
ปริเยสนัปปมาทกถา พระธรรมเทศนาประจำคืนในพรรษา ๑๖ ก.ค. ๒๕๑๔

อย่างว่าบางคนจะสมาทานการพูดน้อยให้ตลอดพรรษา แม้เพียงเท่านี้ก็ยังเป็นการดี เพราะว่าคนส่วนมากขี้พูด พูดพรํ่าเพรื่อ, ไม่รู้จักมรรยาทในการพูด, นั่งฟังธรรมก็ยังพูดคุยแข่งกันพร้อมกับการแสดงธรรม นี้ก็ยังมี นี้ก็เรียกว่า กิเลสมันครอบงำมากเกินไป; จะต้องตั้งใจฝึกฝนให้เป็นพิเศษด้วย, คือการบังคับตัวเอง ให้อยู่ในขอบเขตของธรรมะและวินัย อย่าได้เห็นว่าแม้แต่การบังคับตัวเองให้พูดน้อยนี้ เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย คนที่ไม่รู้จักการบังคับตัว ย่อมไม่รู้ว่าอะไรเป็นเรื่องมาก อะไรเป็นเรื่องน้อย คนขี้พูด พูดพรํ่าเพรื่อ พูดไม่รู้จักกาลเทศะนั้น มันก็แสดงอยู่แล้วว่า เป็นผู้ไม่มีสติปัญญา คือเป็นคนโง่; นี้ก็เป็นกิเลสที่เรียกว่าโมหะ.

เดี๋ยวนี้พุทธบริษัทในพระพุทธศาสนานี้ จะต้องเป็นผู้มีแสงสว่าง มีความรู้ ความตื่นจากหลับ และความเบิกบาน ถ้ามีโมหะความโง่ความหลงอยู่ ก็ไม่มีความเป็นพุทธบริษัท เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ดังที่จะเห็นได้ ว่ามันตรงกันข้ามอย่างไร ดังนั้นตามที่ตั้งใจว่าตลอดพรรษานี้ จะสมาทานวัตรอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ครบถ้วนบริบูรณ์และสมํ่าเสมอนั้นเป็นการสมควรอย่างยิ่ง

หาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์

สำหรับในวันนี้ ซึ่งเป็น พระพุทธภาษิต จะได้แสดงด้วยข้อธรรมะข้อหนึ่งซึ่งเป็นพระพุทธภาษิต ว่า ผู้มีปัญญาย่อมแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์ ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน จงตั้งจิตอธิษฐาน ในการที่ว่า จะประพฤติปฏิบัติให้ตลอดพรรษานี้โดยหัวข้อที่ว่า จะแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์

ท่านทั้งหลายจงฟังดูให้ดี; ถ้าฟังดูไม่ดี ก็จะไม่เห็นด้วย ในข้อที่ว่า เราจะแสวงหาความสุข จากสิ่งที่เป็นทุกข์ คนโง่ก็เห็นว่า เมื่อเป็นทุกข์เสียแล้ว ก็ไม่มีทางแก้ไข หรือความสุขกับความทุกข์นี้ จะเอามาใช้แทนกันไม่ได้ แต่ ผู้มีปัญญา หาเป็นอย่างนั้นไม่ สามารถแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์

นี้มันก็เป็นหนทางที่ดี หรือดีมากทีเดียว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่จะช่วยให้มีความทุกข์น้อยเข้า หรือถึงกับไม่มีความทุกข์เลย แต่ถ้าฟังไม่ถูก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร และคงจะคิดเสียว่า มันเป็นสิ่งที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่าคนโง่ทั้งหลาย ย่อมหวังในสิ่งที่หวังไม่ได้ หรือไม่ควรหวัง

ยกตัวอย่างเช่นว่า คราวหนึ่ง ได้พูด ได้เทศน์ ได้พิมพ์โฆษณา เรื่องซึ่งมีหัวข้อว่า ความเจ็บไข้มาสอนให้เราเป็นคนฉลาด ความเจ็บความไข้เกิดขึ้นแก่เราเพื่อมาสอนเราให้เป็นคนฉลาด คนที่ไม่เข้าใจก็ล้อว่าเขาไม่ต้องการความเจ็บไข้ เขาต้องการลาภอย่างยิ่ง ที่เกิดมาจากความไม่เจ็บไม่ไข้ อ้างพระพุทธภาษิต ขึ้นมาว่า อโรคยา ปรมาลาภา - ความไม่มีโรคเป็นยอดแห่งลาภ นี้คือคนโง่ ใครบ้างที่ว่า อยู่ในโลกนี้แล้วจะไม่เจ็บไม่ไข้

นี้ปัญหามันก็มีว่า เมื่อความเจ็บความไข้เกิดขึ้นแล้ว จะต้องทำอย่างไร? จะต้องมาเสียใจ มานั่งบ่น นั่งเพ้อ ว่าเป็นกรรม เป็นเวร เป็นบาป มาถึงเข้าแล้ว; บางคนก็ร้องไห้กระสับกระส่าย อย่างนี้เรียกว่าคนโง่ โง่เพราะไม่รู้จักต้อนรับความเจ็บไข้ ให้กลายเป็นของที่ไม่ทำอันตราย จึงได้กล่าวไว้ให้เป็นหลักปฏิบัติว่า ความเจ็บไข้นั้นมันมาสอนให้เราฉลาด

ถ้าเกิดไม่มีความเจ็บไข้กันเสียเลยเอาจริง ๆ คนก็จะเหลิงและประมาท ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ทั้ง ๆ ที่มีความเจ็บไข้อยู่บ่อย ๆ ก็ยังเป็นคนประมาท ถ้าไม่ประมาท มันก็จะได้รับผลประโยชน์จากพระธรรม หรือว่าจากการที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ แต่ถ้าประมาทเสียแล้ว ก็ไม่ได้รับประโยชน์จากอะไรเลย จะไดัรับแต่โทษของความประมาทเท่านั้น.

นี้ ความเจ็บไข้มาเตือนให้ไม่ประมาท กระทั่งมาเตือนให้เราฉลาด ว่าสิ่งเหล่านี้มันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะต้องทำอย่างไร จึงจะเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ ความทุกข์ยากลำบากทั้งหลาย ถ้าเรารู้จักต้อนรับเอา มันก็กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราฉลาดขึ้น ยิ่งขึ้นทุกที

เราดูโดยทั่ว ๆ ไป ก็จะเห็นได้ว่า การที่มนุษย์รู้จักทำอะไรให้ก้าวหน้า หรือดีขึ้น สวยขึ้น นี้ก็เพราะว่ามันมีอุปสรรคเกิดขึ้นก่อน จึงได้คิดแก้ไข มันจึงฉลาดในการที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้น แม้แต่จะขุดรูอยู่ เมื่อมันมีความไม่สำเร็จประโยชน์ที่ส่วนไหนก็คิดแก้ไขให้มันดีขึ้นจนรู้จักทำเพิง ทำกระท่อม ทำบ้าน ทำเรือน ทำตึกอยู่ ก็ล้วนแต่ประสบความยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งมาก่อนแล้ว จึงคิดแก้ไขทั้งนั้น. สำหรับ ความเจ็บไข้ นี้ก็เหมือนกัน มันเหมือนกับ มาเตือนให้รู้ไว้ล่วงหน้า ว่าจะต้องทำอย่างไร. ถ้ามันเกิดเจ็บไข้มากกว่านี้, หรือมันจะต้องตายลงไปจริง ๆ ก็จะสามารถทำจิตใจได้ถูกต้อง ไม่ให้ความทุกข์ครอบงำมากเกินไป.

ฉะนั้นเมื่อ เจ็บไข้ทีไร ต้องรู้จักถือเอาความฉลาดรู้จักพิจารณา และ รู้จักสลัดออกไป ด้วยสติปัญญา เหมือนกับว่าเป็นการ ฝึกหัดจิตใจให้เข้มแข็ง ให้ความทุกข์เพียงเท่านี้ครอบงำไม่ได้ เรื่อย ๆ ไป จนกระทั่งความทุกข์ชนิดไหน ก็ครอบงำไม่ได้ เมื่อเราคิดเสียอย่างนี้ ความเจ็บไข้มันก็จะพ่ายแพ้ไป แม้ว่าความเจ็บไข้นั้นมันจะหนักมาก ถึงกับต้องตาย ก็ยังมีทางที่จะคิดได้ว่า สังขารมันเป็นอย่างนี้เอง ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสังขารทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าฉลาดถึงขนาดนี้แล้ว ความทุกข์หรือความเจ็บไข้ หรือความตายชนิดไหนก็ไม่มาทำให้เดือดร้อนได้หรือถึงกับหัวเราะเยาะได้ นี้เรียกว่าเป็นผู้ฉลาดเต็มที่ในเรื่องเกี่ยวกับความเจ็บไข้ นี้เป็นหลักสำหรับพุทธบริษัทจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในการที่จะเอาชนะความทุกข์.

ความเป็นทุกข์ของสังขาร

ทีนี้ก็จะย้อนกลับไปหาหัวข้อข้างต้นที่ว่า รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่เป็นทุกข์. หัวข้อนี้มีทางที่จะอธิบายได้มากมายหลายระดับ แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ เรื่องความเป็นทุกข์ของสังขาร ในบทที่ว่า สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา - สังขาร คือสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งทั้งปวงทุกชนิด เป็นทุกข์ หรือว่า เบญจขันธ์อันเป็นที่ตั้งของอุปาทานนี้ เป็นความทุกข์ แปลว่า ตัวชีวิตนั้นมันเป็นความทุกข์อยู่ตามธรรมชาติ

ทีนี้เรา จะแสวงหาความสุข จากสิ่งที่เป็นทุกข์นี้ได้อย่างไร? สติปัญญาของคนธรรมดาคงจะทำไม่ได้ จึงต้อง อาศัยสติปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สติปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากพอ ที่จะทำให้สามารถแสวงหาความสุข จากสิ่งที่เป็นทุกข์ เพราะสติปัญญาอันสูงสุดอย่างนี้เอง พระองค์จึงได้นามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ขอให้เราทุกคน ลองพยายามคิดนึกศึกษา ตามที่พระองค์ทรงสอนไว้

ก็ร่างกายจิตใจชีวิตนี้ เมื่อปล่อยไปตามเรื่องตามราวของคนที่ไม่มีความรู้มันก็เป็นทุกข์ แต่ถ้ามีปัญญาก็สามารถที่จะพิจารณา เสาะหาเอาแต่แง่มุมที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์ ลองว่ามาดู ว่ามันมีอะไรบ้าง?

ข้อแรก ทีเดียว เราก็ได้ยินได้ฟังกันอยู่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความเศร้าโศกรํ่าไรรำพัน ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เหล่านี้ก็เป็นทุกข์ ประสบพบกับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์ สรุป ความแล้ว เบญจขันธ์ที่มีอุปาทานเป็นตัวทุกข์ นี้คำพูดเกี่ยวกับเรื่องของความทุกข์มีอยู่่อย่างนี้ เป็นหลักทั่วไปในพระพุทธศาสนา

ความเกิดเป็นทุกข์ เราจะทำอย่างไร? เราก็ต้องศึกษาเรื่องความเกิด ถ้าไม่มีความเกิด เราก็ไม่มีอะไรจะศึกษา ฉะนั้นต้องมีความเกิดมาให้เรา สำหรับเป็นวัตถุแห่งการศึกษา เมื่อเรามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเกิดนี้อย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถจะทำให้ความเกิดนั้นหยุดเป็นทุกข์ หรือถึงกับไม่มีความเกิดเอาเสียเลยทีเดียว

ศึกษาจนรู้ว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่สักว่าธรรมชาติล้วน ๆ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป เราได้ความรู้ความเข้าใจถึงขนาดนี้แล้ว ความเกิดก็หมดความเป็นทุกข์ แล้วก็ให้สิ่งที่ตรงกันข้าม คือความไม่เป็นทุกข์หรือความสุข.

มาถึงความแก่ชรา จะเป็นความแก่ชราอย่างไหนก็ตาม ถ้ามีปัญญาพอตัว ก็ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับศึกษา เป็นบทเรียนสำหรับศึกษา ให้รู้ว่า ความแก่มันเป็นอย่างนี้เอง มันก็มาสอนให้เราฉลาดด้วยเหมือนกัน อย่างน้อยก็ให้รู้ว่า สังขารทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้ ก็หัวเราะเยาะได้.

ถ้าสามารถประพฤติธรรมะ ขนาดที่ว่า ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น โดยประการทั้งปวงแล้ว ความแก่ก็ไม่มีความหมาย ไม่ทำอันตรายแก่บุคคลใด แม้จะแก่จนลุกเดินไปไหนไม่ไหว มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องมาทำให้เกิดความทุกข์ใจ จะมองไปในแง่ไหนก็ได้ มัน เป็นของธรรมดา เป็นไปตามธรรมดา เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ ไม่ต้องเป็นทุกข์ จะฉลาดในเรื่องของขันธ์ ของธาตุ ของอายตนะ หรือว่าของธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง ตามที่มันเป็นจริง ว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าความแก่ไม่มีมา ก็ไม่มีทางจะรู้อย่างนี้

ความเจ็บไข้ก็อย่างเดียวกันอีก คืออย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเป็นตัวอย่างนั้น เจ็บไข้ทุกทีก็ย่อมจะฉลาดขึ้นทุกที แต่ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ เจ็บไข้ทุกทีก็ยิ่งโง่เข้าทุกที ยิ่งทุกข์ง่าย มีความทุกข์ง่ายขึ้นทุกที จนหมดกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงของสังขารทั้งหลาย.

ทีนี้ก็มาถึง ความตาย, ความตายนี้ เป็นความทุกข์ขึ้นมา ก็เพราะว่าทุกคนยึดมั่นถือมั่น ว่าความตายนี้ของเรา ความตายยังไม่ทันมาถึง ก็มีความทุกข์เหลือประมาณ

โดยมากคนเรามีความทุกข์ เพราะสิ่งที่ยังไม่มาถึง แทบจะทั้งนั้น หมายความว่าคิดเอาเอง หวั่นวิตกเอาเอง ยึดมั่นถือมั่นเอาเอง เป็นความทุกข์มากมายมหาศาล จากสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น พอถึงคราวที่ตายเข้าจริง ๆ หามีเวลาที่จะไปคิดนึกมากอย่างนั้นไม่ มีปัญหาเรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นปี ๆ ล่วงหน้า ถึงเวลาจะตายเข้าจริง ไม่กี่นาทีก็ตายได้

อาการอย่างอื่นอีกหลายอย่างก็เหมือนกัน ที่เป็นปัญหามากที่สุด ก็คือความกลัว หรือ ความวิตกกังวล คนคนหนึ่งก็มักจะมีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งเอามาสำหรับกลัว หรือสำหรับวิตกกังวล มันก็ทรมานไปทุกวันทุกคืน โดยที่แท้เรื่องจริงนั้นไม่ได้เกิด แต่มันเกิดเพราะเอามาคิดมายึดถือ จนเป็นที่ตั้งแห่งความวิตกกังวล หรือความกลัว เป็นต้น

โดยเฉพาะเรื่องภายนอก กลัวเหตุการณ์อันตรายภายนอก กลัวยากกลัวจนกลัวอะไรก็ตาม เอามาคิดสำหรับกลัวได้มาก โดยที่ไม่จริง ถ้าอย่ามาคิดสำหรับกลัวหรือวิตกกังวล คิดไปแต่ในทางที่จะทำการทำงานให้ลุล่วงไปอย่างไร ให้สนุกสนานไปเสียยังดีกว่า

รวมความว่า เรื่องอะไร ๆ ที่มนุษย์รู้สึกเป็นทุกข์ หรือกลัว วิตกทนทรมานอยู่นี้ เป็นเรื่องที่ไปเอามาคิดด้วยความสำคัญผิด ความยึดมั่นถือมั่น ทั้งนั้น ถ้าจะ คิดเสียใหม่ว่า มันจะเป็นอะไรก็ตามใจ เราจะทำแต่สิ่งที่ควรทำ ที่ต้องทำ ในหน้าที่ของตนเป็นประจำวัน โดยที่ว่ามันจะตายลงเดี๋ยวนี้ก็ได้ ขณะที่ทำงานอยู่เดี๋ยวนี้ให้มันตายลงไปก็ได้ จะไม่สนใจแก่เรื่องเหล่านั้น ที่จะต้องเอามากลัวไว้ล่วงหน้า : จะกลัวคน หรือว่ากลัวโรคภัยไข้เจ็บ กลัวโจรกลัวผู้ร้าย กลัวความวิบัติต่าง ๆ นานา มันก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน ไม่กลัวเสียเลยจะดีกว่า แต่ถ้ามันได้เกิดขึ้นแล้ว ก็เอามาเป็นเครื่องศึกษา สำหรับให้รู้ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้ฉลาดขึ้นสำหรับที่จะไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องมีความทุกข์ในกรณีอย่างนี้อีกต่อไป

นี้เรียกว่า อะไรที่เขาถือกันว่าเป็นความทุกข์ ถ้ามาเกิดแก่เราแล้ว เราอาจจะเปลี่ยน ให้มันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปเสียก็ได้ เพราะอาศัยสติปัญญา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรที่เกิดบ่อย ๆ หรือมีอยู่เป็นประจำ เป็นความเจ็บไข้ความอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องทำก่อน เปลี่ยนให้มันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แทนที่จะมาเป็นเครื่องรบกวนความสงบสุข ก็เปลี่ยนให้เป็นเรื่องที่มาช่วยให้ฉลาด สำหรับจะกำจัดความทุกข์ อย่างนี้ก็เรียกว่า อยู่ในประเภทที่แสวงหาความสุขได้ จากสิ่งที่เป็นทุกข์นั้นเหมือนกัน

ข้อความต่อไปที่ว่า ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักเป็นความทุกข์ นี้ดูจะเป็นคนโง่มากหน่อย เพราะว่ามันไปโง่ทีแรก ก็คือ ไปรักสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ของธรรมชาติ จะเอามาเป็นของตน เพราะอำนาจของกิเลส คือความโง่ ถ้ามารู้เสียว่า ความรักนี้เป็นความโง่ชนิดหนึ่งแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ต้องมี ถ้าจะต้องวิบัติพลัดพรากจากของรัก ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ ประสบเข้ากับสิ่งที่ไม่รัก ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะว่าเมื่อเราไม่มีความรักแล้ว สิ่งที่ไม่รักมันก็มีไม่ได้ มันกลายเป็นสิ่งที่เป็นกลาง ๆ ไปเสียหมด

นี้คือวิธีที่จะทำให้โลกนี้ ไม่มีอะไรที่จะเป็นทุกข์แก่บุคคลผู้มีสติปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเป็นเครื่องคุ้มครอง.

ทั้งหมดนี้ ตามที่กล่าวมานี้ เป็นหลักใหญ่ ๆ ในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดถึง ความทุกข์ ก็หมายถึงความทุกข์ที่เกิดมาจากเบญจขันธ์ ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน เราเป็นผู้รู้จักเข็ดรู้จักหลาบ รู้จักสังเกต เป็นทุกข์ทุกทีก็ฉลาดขึ้นทุกที ไม่ใช่เป็นทุกข์ทุกที ยิ่งโง่เข้าทุกที ยิ่งท้อถอย ยิ่งหมดกำลังใจเข้าทุกที มีความทุกข์ทีไร ก็จะต้องถือเอากำไรให้ได้จากความทุกข์นั้น ถ้ามันทุกข์มาก ก็จะถือเอาความรู้ให้ได้มาก คือให้มีกำไรมาก แล้วแต่ว่าความทุกข์นั้นมันจะมีมาในลักษณะไหนหรือขนาดไหน ยิ่งทุกข์มากก็ยิ่งดี จะได้รู้ความจริงเกี่ยวกับข้อนี้มาก.

เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ไม่เท่าไรก็จะไม่มีอะไรที่จะเป็นความทุกข์ ความทุกข์เข้ามา แปลงให้เป็นความสุขไปเสียได้ เป็นคาถาอาคมอะไรชนิดหนึ่ง ซึ่งประเสริฐที่สุดสำหรับมนุษย์ คือสามารถที่จะเอาชนะความทุกข์ทุกอย่างได้ ให้กลายเป็นความรู้บ้าง ให้กลายเป็นความสามารถบ้าง

ฝึกเอาความทุกข์มาเป็นบทเรียน

ฉะนั้น ในโอกาสของการเข้าพรรษาเช่นนี้ เราก็จะเอามาจับกันเข้ากับสิ่งที่มีอยู่เป็นประจำวัน เราเคย มีความทุกข์เพราะอะไร? ก็จะต้องเอาสิ่งนั่นมาเป็นบทเรียน สำหรับเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ แม้แต่ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันเกิดขึ้นเป็นประจำวันอย่างนี้ ก็จะต้องรู้จักเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่ไม่มีปัญหาอย่างเดียวกัน

เช่นว่า สุนัขมันหอนหนวกหู ถ้าใครไปโกรธขึ้นมาคนนั้นมันก็บ้าเอง ความโกรธนั้นก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่งอยู่แล้ว แล้วจะไปคิดอะไรมากไปกว่านั้นอีก มันก็เป็นความทุกข์มากกว่านั้น ฉะนั้นทำอย่างไรจึงจะไม่ต้องเกิดอาการที่ไม่น่าปรารถนาเช่นนี้ เพราะว่าเราจะไปห้ามไม่ให้สุนัขหอนนั้นมันคงทำไม่ได้ มันต้องคิดไปในทางที่ว่า เสียงหอนของสุนัขนี้ มันจะช่วยทำให้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้าง อย่างนี้จะดีกว่า แล้วแต่จะมีปัญญาคิดเอา มีปัญญามากก็คงจะคิดได้มาก และจะถือเอาประโยชน์นี้ได้มาก ถ้ามันหอนเพราะกิเลสมันครอบงำ หรือมันหอนเพราะว่ามันเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ

คนเรานี้มีอะไรแตกต่างกับสุนัข ถ้าเราเป็นคนที่หอนได้ คงจะหอนมากกว่าสุนัข เดี๋ยวนี้เราก็มีการหอนอย่างคน แล้วก็มากกว่าสุนัขเสียอีกกระมัง ถ้าคิดไปในทำนองนี้บ้าง ก็จะเกิดความรู้สึกสนุกสนานขึ้นมาในใจ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความรำคาญ ไม่มีอะไร อะไร ๆ ดูก็เป็นเรื่องที่ว่าเป็นประโยชน์ไม่มีโทษไปเสียหมด

ความที่ ไม่ได้อย่างอกอย่างใจ ในวันหนึ่ง ๆ นั้น ต้องมีมากอย่างเป็นธรรมดา หากแต่ว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ถึงกับต้องถึงเป็นถึงตาย ก็เลยไม่ค่อยจะสนใจไม่ถึงกับเอามาเป็นบทเรียนสำหรับศึกษา

ฉะนั้น ขอให้ตั้งปณิธานว่า เราจะเป็นผู้ไม่หงุดหงิด จะเป็นผู้ไม่รำคาญ ไม่อึดอัดขัดใจต่อสิ่งใด ๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น จนตลอดพรรษา โดยวิธีลัดอย่างนี้ก็ยังเป็นการปฏิบัติธรรมะชั้นสูงสุด ในพระพุทธศาสนา ได้เหมือนกัน.

เดี๋ยวนี้ยัง มีความอึดอัดขัดใจ นั่นนี่ สารพัดอย่างที่มันจะเกิดขึ้น เดี๋ยวปวดฟัน เดี๋ยวปวดหัว เดี๋ยวท้องไม่ดี เกี่ยวกับร่างกาย อย่างเดียว มันก็มีอยู่มากอย่างมีอยู่หลายอย่างแล้ว ทีนี้เกี่ยวกับ เรื่องราวอื่น ๆ ที่จะประดังกันเข้ามา ก็ยังมีอีกมาก สิ่งภายนอกที่เราห้ามไม่ได้ก็ยังมีอีกมาก ถ้าไปมัวรำคาญ หรือ อึดอัดหงุดหงิด กับสิ่งเหล่านี้ มันก็กลายเป็นคนบาปหนา เพราะมันโง่ เพราะมันโง่มันจึงมีบาปมากลุ้มรุมมากถึงขนาดนี้ ถ้าฉลาด บาปเหล่านี้มันก็จะมาทำอะไรไม่ได้ คือไม่อาจจะมาได้ ถึงมันจะเกิดขึ้นอย่างธรรมดาที่เคยเกิด มันก็ไม่ทำให้หงุดหงิดรำคาญฟุ้งซ่านอะไรได้

ธรรมะที่เป็นความฉลาด ป้องกันได้ ในลักษณะอย่างนี้ ให้ความทุกข์ทั้งหลายเข้ามากระทบจิตใจไม่ได้ จะเข้ามามันก็ต้องกระเด็นออกไป ไม่เข้าไปทำอันตรายจิตใจได้แม้แต่น้อยเลย

ดังนั้น คนทุกคน ที่มีหน้าที่ของตน ๆ แตกต่างกันอยู่มากมายหลายชนิด เป็นผู้หญิงก็มี เป็นผู้ชายก็มี เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่คนเฒ่า แม้ในหน้าที่การงานนี้ ก็ยังมีแตกต่างกัน ทำสวน ทำนา ทำไร่ หรือว่า แม้แต่ว่าในบ้านเรือนหนึ่ง ๆ ก็ยังมีการทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เป็นแม่ครัวก็มี เป็นคนซักผ้าก็มี อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง ล้วนแต่มีทางที่จะให้เกิดความหงุดหงิด ได้ด้วยกันทั้งนั้น เป็นความปั่นป่วนในส่วนตัว ก็ทำให้ความปั่นป่วนในส่วนรวม หรือกว้างออกไป จนไม่มีอะไรที่จะสงบรำงับ หรืออยู่กันเป็ผาสุกได้.

เปลี่ยนความทุกข์มาเป็นสิ่งมีประโยชน์เสีย

นี่แหละขอให้คิดดูเถิดว่า ถ้าเรา รู้จักทำสิ่งที่ถือกันว่าเป็นความทุกข์ ให้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เสียให้ได้แล้ว ความทุกข์ก็จะไม่มีแก่บุคคลใดเลย พิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นได้ว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เหลือวิสัย มันจะทำไม่ได้ก็เฉพาะคนโง่ มันเหลือวิสัยแต่สำหรับคนโง่ แต่มันเป็นของง่ายดาย สำหรับคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และถ้าเป็นพุทธบริษัทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เรื่องเหล่านี้เรื่องทำนองนี้ ก็จะต้องถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเหมือนกับที่เขาใช้สำนวนว่าขี้ผง ฝุ่นธุลีขี้ผงนี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่ใช่มันเป็นเรื่องเป็นราวที่จะทำให้เราเดือดร้อนได้.

เมื่อใด ผู้ใดมีปัญญา เผชิญกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นความไม่พอใจ ในลักษณะดังที่กล่าวมานี้ เมื่อนั้นโลกนี้ก็จะ ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา สำหรับบุคคลผู้นั้น อะไร ๆ ก็เป็นเรื่องสนุกไปหมด ทำมีดบาดมือก็สนุก ตำนํ้าพริกแกงเข้าตาก็ยังสนุก แต่ถ้าคนโง่คงทำไม่ได้ คนที่ทำการงานก็ย่อมมีความผิดพลาดนั่นนี่อยู่เป็นประจำวัน ตีหัวตาปู มาตีเอานิ้วมือของตน ก็มีอยู่บ่อย ๆ ดังนี้ ถ้าใครหัวเราะได้มันก็เป็นเรื่องสนุกเหมือนกับไปดูละครชนิดหนึ่ง.

แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีสติปัญญา ที่จะทำได้ถึงขนาดนั้น มันก็ตกนรก เป็นสัตว์นรก คือดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดจนกลายเป็นยักษ์เป็นมาร คือโกรธขึ้นมา ก็ขว้างเครื่องไม้เครื่องมือแตกกระจายเสียหายไปเสียอีก ต้อนรับสิ่งที่เกิดขึ้นในลักษณะอย่างนี้ ไม่ใช่ลักษณะของมนุษย์เลย เป็นยักษ์เป็นมารไปบ้าง หรือว่าเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานไปบ้าง เพราะความโกรธบ้าง เพราะความโง่บ้าง เพราะอะไร ๆ อีกหลายอย่าง.

แม้ว่าความจริงจะมีอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีใครสนใจ ไปสนใจแต่ในทางที่จะให้มันเพิ่มความทุกข์ สิ่งที่ไม่ควรจะเป็นทุกข์ มันก็กลายเป็นทุกข์ขึ้นมา สิ่งที่เป็นทุกข์อยู่แล้ว มันก็เป็นทุกข์มากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่มีวันหรือไม่มีโอกาส ที่จะได้รับสิ่งที่เป็นสุข จากสิ่งที่เป็นทุกข์ เป็นคนขาดทุน เป็นคนฉิบหายล้มละลาย อยู่จนตลอดชีวิต เพราะมันมีแต่ความเสียไม่มีความได้ ถ้าเรารู้จักเปลี่ยนจิตใจ เสียสักหน่อยหนึ่งเท่านั้น ความเสียก็จะกลายเป็นความได้ ความทุกข์ก็จะกลายเป็นความสุข ฉะนั้น ขอให้ถือเอาสิ่งที่ถือกันว่าเป็น ความทุกข์ แล้วเกิดขึ้นมากมายในวันหนึ่ง ๆ นั่นแหละ เป็นบทเรียน

การที่ทำอะไรตกแตกเสียหาย มันก็ไม่ควรจะต้องเป็นทุกข์ ควรจะถือเอาเป็นความฉลาด สำหรับจะไม่ต้องเป็นอย่างนั้นอีกต่อไป

ถ้าว่า ถูกเขาขโมย ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นทุกข์ ก็ควรจะฉลาดในการที่จะถือเอาประโยชน์ให้ได้มากมายหลายชนิด หรือฉลาดในการที่จะทำให้เขาขโมยไม่ได้อีกต่อไป จนกระทั่งถึงกับว่าเขาขโมยเอาไปเสียก็ดีเหมือนกัน ไม่รู้จักมองก็ไม่เห็นแง่ดี ที่จริงการที่ถูกขโมยเสียบ้างนี้ มันก็มีส่วนดี คือทำลายความเห็นแก่ตัวได้ไม่มากก็น้อย แต่เดี๋ยวนี้มันโง่ ไปถือเอาเป็นโอกาสสำหรับทำลายความเห็นแก่ตัว ไปถือเอาเป็นโอกาสสำหรับโกรธ อาฆาตพยาบาท อย่างนี้มันก็ยิ่งเพิ่มความเห็นแก่ตัว มันก็มีความทุกข์มากขึ้น

เมื่อถูกเขาเอาเปรียบ หรือเมื่อแพ้คดี หรือแพ้การต่อสู้ อย่างใดอย่างหนึ่งก็เหมือนกัน เอามานอนเป็นทุกข์ตามแบบของคนโง่ ไม่รู้จักเอามาใช้ให้มันเกิดความเฉลียวฉลาด จนไม่ต้องประสบผลอย่างนั้นอีกต่อไป

สมมติว่า ไฟไหม้บ้านเรือนหมดสิ้น มานั่งทุกข์ร้อนอยู่นั้น มันจะเป็นประโยชน์อะไร คนบางคนมีความทุกข์ร้อนเอามาก ถึงกับจะตายตามไป ตามบ้านเรือนที่ไฟไหม้นั้นไปก็มี แต่บางคนเขาคิดเป็นคิดถูก หัวเราะร่าเริงก็มี เพียงแต่ว่ามันน้อยมาก แม้ว่ามันจะหัวเราะเพราะความบ้าบิ่นอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็ยังดีกว่าคนที่มานั่งร้องไห้ ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไร แล้วคนเขายังจะหัวเราะเยาะเอาด้วย ไม่จำเป็นจะต้องร้องไห้ จงคิดต่อไปว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป แล้วก็ทำอย่างนั้นมันก็ดีที่สุดแล้ว

หรือจะมีอะไรเป็นความวิบัติอย่างอื่นเหมือนกับไฟไหม้ หรือว่ายิ่งไปกว่าไฟไหม้ มันก็ต้องคิดอย่างเดียวกันทั้งนั้น

รวมความในที่สุดก็ว่า อะไรที่ยิ่งทำให้มีความทุกข์มาก อันนั้นจะต้องใช้ให้มันเป็นเครื่องที่นำความฉลาดมาให้มาก ถ้าทำไม่ได้อย่างนี้ ให้ถือเป็นคนโง่.

ธรรมะที่แก้ปัญหาได้ คือสติ

ทีนี้ก็มาดูถึงปัญหาที่อาจจะมีต่อไปว่า เราจะมีธรรมะบทไหน ข้อไหนที่จะมาช่วยให้เป็นไปในลักษณะที่ต้องการนั้นได้ง่ายเข้า ไม่มีธรรมะบทไหนนอกไปจากธรรมะบทที่เรียกว่าสติ

สำหรับสิ่งที่เรียกว่า สติ นี้ มีความหมายกว้างขวางเหลือประมาณ มีหลายชั้นหลายระดับ แต่รวมความแล้วก็อาจจะกล่าวได้เป็นใจความสั้น ๆ ว่า คือ สติปัญญา ที่มีอยู่แล้วก็ วิ่งมาทันท่วงที ในการที่จะแก้ปัญหานั้น ๆ หรือเผชิญกันกับสิ่งที่เป็นอันตรายนั้น ๆ

คนที่มีปัญญามาก แต่ไม่มีสติ มันก็เหมือนกับไม่มีปัญญาอยู่นั่นเอง คือปัญญามันเป็นหมัน มันมาช่วยอะไรทันท่วงทีไม่ได้ กว่าจะนึกออกเรื่องก็พ้นไปเสียแล้ว ไม่สามารถใช้ความรู้นั้น ให้ทันกับเหตุการณ์ได้เลย อย่างนี้เพราะขาดสติ.

ถึงแม้ในกรณีที่ว่า เราจะพลิกความทุกข์ให้กลายเป็นความสุข นี้ก็เหมือนกัน คือ ต้องการสิ่งที่เรียกว่า สติ นั่นแหละ มาเป็นเครื่องมือสำคัญ จึงจะสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้

ปัญญานั้นก็คือสติ เพราะว่าสติ ถ้าไม่มีปัญญาก็เป็นสติไปไม่ได้ ผิดกันหน่อยเดียวที่ว่า นอนอยู่เฉยเรียกว่าปัญญา หรืองอกงามอยู่เฉย ๆ เรียกว่าปัญญา แต่ถ้า เอามาใช้ได้ทันท่วงที ทันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเรา เปลี่ยนชื่อเป็นสติ เติม เข้าไปอีกหน่อยหนึ่งว่า สัมปชัญญะ เรียกว่า สติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว ไม่ต้องพูดถึงปัญญาก็ได้ เพราะมันหมายถึงปัญญาอย่างเต็มที่ รวมอยู่ในคำคำนี้ ว่า มีสติสัมปชัญญะ สามารถที่จะเผชิญสิ่งต่าง ๆ ในลักษณะที่จะไม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หรือว่า จะเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ได้ทันท่วงที ตามต้องการ.

ดังนั้น จึงขอชักชวนท่านทั้งหลาย ให้สนใจในสิ่งที่เรียกว่า สติ ขาดสติเมื่อไร ก็โง่เมื่อนั้น ขาดสติเมื่อไรก็ไม่รู้จักกาลเทศะเมื่อนั้น ขาดสติเมื่อไร มันก็ยินดียินร้ายไปตามสิ่งที่เข้ากระทบเมื่อนั้น รวมความว่า ขาดสติเมื่อไร มันก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อนั้น แล้วก็จะทำแต่ในทางที่เป็นความทุกข์อย่างเดียว ไม่สามารถเปลี่ยนความทุกข์ ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ได้.

เรื่องนี้สำคัญมาก เปลี่ยนสิ่งหนึ่งให้กลายเป็นสิ่งซึ่งตรงกันข้ามไปนี้ แทบจะไม่มีใครเชื่อ เพราะว่าคนนี้ไม่รู้จักสิ่งนั้น ๆ ดีนั่นเอง คนไม่รู้จักความทุกข์ จึงได้เป็นทุกข์ จึงได้นั่งร้องไห้อยู่

ถ้าคนมันฉลาดพอ คือ รู้จักความทุกข์ มันก็สามารถที่จะเตะความทุกข์นั้นกระเด็นออกไปได้ หรือถ้าจะเอาไว้ ก็ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นอย่างอื่นไป คือไม่ใช่ความทุกข์ ให้มัน กลายเป็นวิชาความรู้ ให้มันเป็นวิชาความรู้ หรือ ความฉลาด หรือ ความเข้มแข็ง หรือ ความสามารถ หรืออะไรก็สุดแท้.

ศึกษาพระสูตรพระวินัยจะเข้าใจคำสอน

แต่ว่าสติปัญญานั้นจะทำได้อย่างไร? นี้แหละความสำคัญที่เร้นลับอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้า ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงประทานสิ่งสิ่งหนึ่งให้สำหรับจะไม่มีความทุกข์ ทั้งที่ว่าสังขารร่างกายนี้มันเป็นทุกข์ก็จะทำให้มันไม่เป็นทุกข์ หรือไม่ปรากฏเป็นทุกข์ หรือว่าโลกทั้งโลกมันจะลุกเป็นไฟ เราก็ไม่มีความทุกข์.

คนที่ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้จักธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ก็คงจะไม่เชื่อ ยังแถมจะเป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีหรือในผ้าเหลือง เป็นพระเป็นเณรอยู่ด้วยซํ้าไปกำลังไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ ในคำสั่งสอนของพระองค์ทั้งที่มาบวชเป็นพระเป็นเณรแล้ว ก็ยังไม่รู้และไม่เชื่อ มันก็มีลามปามไปถึงกับว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอย่างนี้ ใครจะเอามาพูดให้ฟังก็ไม่เชื่อ การที่ จะใช้หลักตัดสิน เช่น หลักมหาปเทสเป็นต้น มาเป็นหลักสำหรับตัดสิน ก็ทำไม่ได้ เพราะมันไม่รู้อะไรเสียเลย.

การที่จะใช้หลักมหาปเทส หรือกาลามสูตรเป็นต้น มาเป็นเครื่องตัดสินว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดของพระพุทธเจ้าจริงหรือไม่นั้น มันต้องมีเดิมพัน หรือมีทุนรอนอะไรอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน คือว่าเคยได้ยินได้ฟัง ได้เรียนได้คิดนึกศึกษาได้ผ่านมาแล้วพอสมควร ว่าหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอย่างไร เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า เมื่อเกิดความสงสัยในข้อใดขึ้น ให้เอาปัญหานั้นมาหยั่งดูในสูตรมาสอบสวนกับวินัย ถ้าเราไม่รู้เรื่องสูตร ไม่รู้เรื่องวินัยเสียเลย จะเอาปัญหานั้น ๆ มาหยั่งดู หรือมาสอบสวนดู ในสูตร ในวินัย ได้อย่างไรกัน.

นั่นแหละ คือข้อที่ว่า เราจะต้องไม่ประมาทไปเสียตั้งแต่เบื้องต้น พยายามศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจว่าวินัยเป็นอย่างไร สุตตะเป็นอย่างไร พอเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ก็สามารถเอามาเทียบดูได้ ว่าอย่างไรจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างไรจะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เช่นเมื่อได้ยินคำว่า ผู้มีปัญญาสามารถที่จะแสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องอาศัยหลักอันนี้

ทีนี้มันก็คง จะมีปัญหา ในข้อที่ว่า ไม่รู้ว่าจะเอาสูตรข้อไหน หรือ วินัยข้อไหน มาเป็นหลักสำหรับจะเทียบจะเคียง หรือจะหยั่ง หรือจะสอบ เพราะมันมีอยู่มากด้วยกัน แล้วหลักเกณฑ์ข้อหนึ่ง ๆ นั้น มันยังมีความหมายซับซ้อนหลายชั้น ถือเอาแต่ตามตัวหนังสือ มันก็ไปอย่างหนึ่ง ถือให้ถูกต้องตามความหมาย มันก็เป็นไปอย่างหนึ่ง

เช่นว่า จะถือเอาตามตัวหนังสือว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ แล้วก็ถือเอาเสียเลยว่า มันไม่มีทางที่จะแก้ไขได้หรือว่าเราไม่มีวิถีทาง ที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสังขารชนิดนั้น ในลักษณะที่เราไม่ต้องเป็นทุกข์

นี้มันคนละตอน คนละขั้น คนละชั้นอยู่ จะต้องระวังให้ดี เมื่อสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ เราก็มีวิธีที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสังขารเหล่านั้น โดยที่เราไม่ต้องเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายมันจะเป็นทุกข์เป็นอะไรไป ก็ตามใจมัน เราไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกัน เพราะว่า เรามีวิธีที่ประเสริฐที่สุด ที่พระพุทธเจ้าท่านแนะให้ ว่าเราจะไม่มีความทุกข์ แม้จะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ที่มันเป็นที่ตั้งของความทุกข์ หรือเป็นความทุกข์อยู่ในตัวมันเอง เดี๋ยวนี้ไม่ทันอะไร เห็นใครร้องไห้ก็พลอยร้องไห้กับเขาด้วย นี่มันมีความเคยชินไปแต่ในทางอย่างนี้ จะเอาสติสัมปชัญญะที่ไหนมา สำหรับต่อต้าน หรือว่าป้องกันไม่ให้ตนต้องเป็นทุกข์

เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุด ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่า จะพยายามศึกษา คือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น ให้มันเห็นจริงเห็นจังกันเสียที ว่าถ้าทำอย่างนี้ ทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ อย่างไหนมันจะดีกว่า มันจะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา เป็นผู้กล้าเผชิญกันเข้ากับสิ่งที่เป็นทุกข์ ถือเอาเป็นบทเรียนสำหรับที่จะเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่ไม่มีความทุกข์สำหรับเรา.

นี้เรียกว่า ถือเอาความหมายของคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ถ้ายึดมั่นถือมั่นก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่นมันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นทุกข์ สำคัญอยู่ที่ว่า มันจะมีสติสัมปชัญญะพอ รู้สึกตัวพอในการที่จะไม่ไปยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ ถ้าในครั้งนี้พลาดพลั้งไป ก็อย่าได้เสียใจ เอาความเสียหาย หรือความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นนั่นแหละ มาศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ สำหรับจะไม่พลั้งพลาดอีกต่อไป เลยเป็นอันได้กำไรใหญ่หลวง

ใจความสำคัญมีอยู่สั้น ๆ ว่า มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ก็ต้องเป็นทุกข์เพราะเหตุนั้น เดี๋ยวนี้เรามันต้องมีนั่นมีนี่ จะต้องเกี่ยวข้องกันกับสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้ ทำอย่างไรจึงจะไม่เผลอไปยึดมั่นถือมั่นเข้า มีเท่านั้นเอง

ความทุกข์ช่วยให้เกิดศรัทธา

วิธีที่จะศึกษาที่ดี ก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า การย้อนระลึกไปถึงสิ่งต่าง ๆ หรือ เหตุการณ์ต่าง ๆ แต่หนหลังที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว นั่นแหละมันจะสอนได้ดีกว่าที่จะมานั่งฟังเทศน์อยู่ที่นี่ ซึ่งก็พูดเพ้อ ๆ ไปอย่างนั้นเอง มันจะเข้าไปถึงจิตใจ หรือแสดงความจริงอะไรไม่ได้มากนัก ได้ยินได้ฟังแล้วก็เอาไปคิดไปพิจารณาเข้ากับสิ่งที่เราได้ผ่านมาแล้วแต่หนหลัง ซึ่งเป็นความผิดก็มี ความถูกก็มี ความทุกข์ก็มี ความสุขก็มี เพื่อจะให้รู้จักความสุขและความทุกข์นั้น ๆ ว่ามันเป็นอย่างไร มาจากอะไร มันเพื่ออะไร จะแก้ไขได้โดยวิธีใด จะใช้มันเป็นประโยชน์ แทนที่จะเป็นโทษ ได้อย่างไร

ในพระบาลี สูตรหนึ่ง มีข้อความว่า ศรัทธาตั้งอาศัยอยู่บนความทุกข์ ถ้าเรามีความทุกข์ เราจะมีศรัทธาเชื่อในสิ่งที่จะดับทุกข์ รวมทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือวิธีการอะไรต่าง ๆ แต่รวมความแล้ว มันก็อยู่ที่พระธรรมคำเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็อยู่ในคำว่าพระธรรม พระธรรมก็อยู่ในคำว่าพระธรรม พระสงฆ์ก็อยู่ในคำว่าพระธรรม อะไรอื่นอีกมาก ก็รวมอยู่ในคำคำเดียวว่าพระธรรม

ถ้าเรามีความทุกข์ เราจะศรัทธาในพระธรรม ถ้าไม่มีความทุกข์ เราจะบ้าไปในทางอื่น จะบ้าบอเหลิงเจิ้งเตลิดเปิดเปิงไปในทางอื่น ไม่มีศรัทธาในพระธรรมเดี๋ยวนี้ ความทุกข์ นั่นแหละ มัน ทำให้จำเป็นที่จะต้องค้นหาที่พึ่งที่ต้านทาน มันจึงหันมาหาพระธรรม แล้วก็มีศรัทธาในพระธรรม สำหรับที่จะปฏิบัติสืบต่อไป เพื่อต่อต้านกับความทุกข์นั้น ฉะนั้นในความทุกข์นั้นมันมีอะไรดีวิเศษอยู่อย่างนี้

คนโบราณบางพวกเขาพูดว่า ในหัวคางคก มี เพชรพลอยที่แสนจะวิเศษประเสริฐสุดอยู่ในนั้น คนเขาเกลียดคางคก พูดว่ามีเพชรพลอยอยู่ในหัวคางคก ก็ไม่อยากจะเชื่อ แม้จะเชื่อก็ไม่อยากจะไปควักเอามา เพราะว่ามันเกลียดคางคก

ความทุกข์นี้มันเหมือนกับคางคก ในหัวคางคกนั้นมีเพชรพลอย ถ้าเราเก่งจริง ฉลาดจริง เราก็ควักเพชรพลอยออกมาจากหัวคางคก คือตัวความทุกข์นั้นได้ พูดให้ตรงกว่านี้ก็หมายความว่า เราจะควักพระนิพพานออกมาได้ จากความทุกข์หรือคางคก ที่แสนที่จะน่าเกลียดนั่นเอง

ความหมายอันนี้ก็ยังคงเดิมอยู่ว่า แสวงหาความสุขได้จากสิ่งที่เป็นทุกข์ ความทุกข์อยู่ที่ไหน ต้องหาความดับทุกข์ที่นั่น ไปหาที่อื่นไม่มีวันจะพบ มันทุกข์อยู่ที่ตรงไหน ก็ต้องหาความดับทุกข์ที่ตรงนั้น เมื่อดับทุกข์ออกไป มันก็เป็นนิพพานได้ที่ตรงนั้น

วัดนี้ ที่วัดเรานี้ มีสระมะพร้าวนาฬิเกร์ สำหรับเป็นเครื่องเตือนใจในข้อนี้ พูดกันแล้วพูดกันอีก คงจะเข้าใจกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ใครไม่เข้าใจก็เป็นคางคกไปก่อนก็แล้วกัน เพราะพูดมาหลายครั้งหลายหนแล้วว่า มะพร้าวนาฬิเกร์ กลางทะเลขี้ผึ้ง นั้นมันเป็นอย่างไร ซึ่ง มีใจความสำคัญว่า ความทุกข์อยู่ที่ไหน ความดับทุกข์อยู่ที่ตรงนั้น เพราะฉะนั้นให้หาพระนิพพานให้พบจากท่ามกลางแห่งวัฏฏสงสารนั้นเอง

นี่แหละ คือผู้ที่มีปัญญา สามารถหาพบความสุขได้ในสิ่งที่เป็นความทุกข์ดังที่วิสัชนามา หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคน จะได้อธิษฐานจิต ในการที่ว่า ตลอดพรรษานี้ จะมีวิธีปฏิบัติในลักษณะที่จะ เปลี่ยนความทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์ หรือกลายเป็นความสุข แม้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะใหญ่โต หรือเล็กน้อยเท่าไร ก็จะเปลี่ยนความทุกข์นั้นให้กลายเป็นความสุขได้เสมอไป คืออย่างน้อยก็ให้กลายเป็นความเฉลียวฉลาดไม่มีความผิดพลาดอีกต่อไปเลย แม้ที่สุดแต่ว่า จะเดินตกร่องขาเคล็ดไปมันก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ สำหรับที่จะเฉลียวฉลาด ที่จะไม่เป็นอย่างนั้นต่อไปอีก หรือรู้จักคุณของสติสัมปชัญญะ รู้จักโทษของความไม่มีสติสัมปชัญญะ รู้จักว่าธรรมะเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวไว้ดีแล้ว เมื่อเราปราศจากธรรมะ เราก็ต้องประสบความลำบากยุ่งยาก เป็นทุกข์ทรมาน เมื่อเราประพฤติธรรมะนั้นได้ก็สามารถจะเอาชนะความทุกข์ได้ เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้

ถือหลักปฏิบัติในลักษณะอย่างนี้ ก็จะไม่มีอะไรจะมาทำให้มีความทุกข์ได้อีกต่อไป แม้ที่สุดแต่ว่า ยุงมากัด ก็คงมีความฉลาดมากขึ้นกว่าเดิม

สรุปความว่า ความทุกข์ทั้งหลาย สามารถจะเปลี่ยนให้กลายเป็นความสุขได้ เพราะสติปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ประทานให้แก่พุทธบริษัททั้งหลายเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขเกื้อกูลแก่พุทธบริษัทนั้นตลอดกาลนาน

ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้


ความดับไม่เหลือ
บรรยายพิเศษ ให้แก่คุณหญิงเพื่อน สินธุโสภณ พ.ศ.๒๕๐๔

เรื่อง ดับไม่เหลือ นั้นมีวิธีปฏิบัติเป็น ๒ ชนิด คือ ตามปกติ ขอให้มีความดับไม่เหลือแห่งความรู้สึกยึดถือว่า ìตัวกูî และ ìของกูî อยู่เป็นประจำ นี้อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งหมายถึง เมื่อร่างกายจะต้องแตกดับไปจริง ๆ ขอให้ปล่อยทั้งหมด รวมทั้งร่างกายชีวิตจิตใจ ให้ดับเป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีเชื้ออะไรเหลืออยู่ หวังอยู่สำหรับการเกิดมีตัวเราขึ้นมาอีก

ฉะนั้น ตาม ปกติ ประจำวัน ก็ใช้อย่างแรก เมื่อถึงคราวจะแตกดับ ทางร่างกาย ก็ใช้อย่างหลัง

ในกรณีที่ประสบอุบัติเหตุ ไม่ตายทันที มีความรู้สึกเหลืออยู่บ้าง ชั่วขณะก็ใช้อย่างหลัง ถ้าสิ้นชีวิตไปอย่างกะทันหัน ก็หมายความว่าดับไปด้วยความรู้สึกในอย่างแรก อยู่ในตัว และเป็นอันว่ามีผลคล้ายกัน คือความไม่อยากเกิดอีก นั่นเอง

วิธีปฏิบัติอย่างที่ ๑ คือ ทำเป็นประจำวัน นั้นหมายความว่า มีเวลาว่างสำหรับทำจิตใจเมื่อไร ก่อนนอนก็ดี ตื่นนอนใหม่ก็ดี ให้สำรวมจิตเป็นสมาธิ ด้วยการกำหนดลมหายใจหรืออะไรก็แล้วแต่ถนัด พอสมควรก่อน แล้วจึง พิจารณาให้เห็นความที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงทุกสิ่ง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา หรือ เป็นของเรา แม้แต่สักอย่างเดียว เป็นเรื่องอาศัยกันไปในการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้นเอง ยึดมั่นในสิ่งใดเข้า ก็เป็นทุกข์ทันที และทุกสิ่ง

การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเล่า ก็คือการทนทุกข์ทรมานโดยตรง เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที เกิดทุกชนิดเป็นทุกข์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ก็เป็นทุกข์ไปตามแบบของการเกิดเป็นอย่างนั้น เกิดเป็นแม่ก็ทุกข์อย่างแม่ เกิดเป็นลูกก็ทุกข์อย่างลูก เกิดเป็นคนรวยก็ทุกข์อย่างคนรวย เกิดเป็นคนจนก็ทุกข์อย่างคนจน เกิดเป็นคนดีก็ทุกข์อย่างคนดี เกิดเป็นคนชั่วก็ทุกข์อย่างคนชั่ว เกิดเป็นคนมีบุญก็ทุกข์ไปตามประสาคนมีบุญ เกิดเป็นคนมีบาปก็ทุกข์ไปตามประสาคนมีบาป ฉะนั้น สู้ไม่เกิดเป็นอะไรเลย คือ ìดับไม่เหลือî ไม่ได้.

แต่ทีนี้ สำหรับการเกิด หรือคำว่า ìเกิดî นั้นอย่าหมายเพียงการเกิดจากท้องแม่ ที่แท้มันหมายถึงการเกิดของจิต คือของความรู้สึก ที่รู้สึกขึ้นมาคราวหนึ่ง ๆ ว่า กู เป็นอะไร เช่น เป็นแม่เป็นลูก เป็นคนจนคนมี คนสวยคนไม่สวย คนมีบุญมีบาป เป็นต้น ซึ่งนี่แหละเรียกว่าความยึดถือ หรืออุปาทาน ว่าตัวกูเป็นอย่างไร ของกูเป็นอย่างไร

ตัวกู หรือ ของกู อย่างที่กล่าวนี้ เรียกว่า อุปาทาน มันเกิดจากท้องแม่ ของมันคือ อวิชชา มันเกิดวันหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง หรือไม่รู้กี่ร้อยชาตินั่นเอง เกิดทุกคราวเป็นทุกข์ทุกคราว อย่างไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงทุกคราวที่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียง หรือจมูกได้กลิ่น หรือลิ้นได้รส หรือกายได้สัมผัสทางผิวหนัง หรือจิตมันปรุงเรื่องเก่า ๆ เป็นความคิดเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเองก็ตาม ถ้าควบคุมไว้ไม่ดีแล้ว ตัวกูเป็นได้โผล่หรือเกิดขึ้นมาทันที และต้องเป็นทุกข์ทันที ที่ตัวกูโผล่ขึ้นมา.

ฉะนั้นจงระวังอย่าเผลอให้ ìตัวกูî โผล่หัว ออกมาจากท้องแม่ของมันได้เป็นอันขาด เพียงแต่ตาเห็นรูป หรือหูได้ยินเสียงเป็นต้น แล้วเกิดสติปัญญา รู้ว่าควรจัดการอย่างไรก็จัดไป หรือนิ่งเสียก็ได้ อย่างนี้ไม่เป็นไร ขออย่างเดียวอย่าให้ ìตัวกูî ถูกปรุงขึ้นมาจากตัณหา หรือเวทนา อันเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่ได้เห็นหรือได้ยิน เป็นต้นนั้น อย่างนี้เรียกว่า ìตัวกูî ไม่เกิด คือไม่มีชาตินั่นเอง เมื่อไม่เกิดก็ไม่ตาย หรือทุกข์อย่างใดทั้งสิ้น

นี่แหละ คือข้อที่บอกให้ทราบว่า การเกิด นั้นไม่ใช่หมายถึงเกิดจากท้องแม่ทางเนื้อหนังโดยตรง แต่มันหมายถึงการเกิดทางจิตใจ ของ ìตัวกูî ที่เกิดจากแม่ของมัน คือ อวิชชา

การ ìดับไม่เหลือî ในที่นี้ก็คือ อย่าให้ตัวกูชนิดดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นมาได้นั่นเอง เมื่อ แม่ ของมัน คือ อวิชชา ก็ให้ฆ่าแม่ ของมันเสีย ด้วยวิชชา หรือปัญญา ที่รู้ว่า ìไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่นî นั่นเอง หรืออีกอย่างหนึ่งก็ว่า มันเกิดได้เพราะเราเผลอสติ ฉะนั้น เราอย่าเผลอสติ เป็นอันขาด

ถ้าเป็นคนขี้มักเผลอสติ ก็ จงแก้ด้วยความเป็นผู้รู้จักอาย รู้จักกลัว เสียบ้าง โดย อายว่า การที่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ๆ มันเป็นคนสาระเลว ยิ่งกว่าไหร่หรือขี้ข้าสถุลเสียอีก ไม่สมควรแก่เราเลย ที่ว่ารู้จักกลัวเสียบ้างนั้น หมายความว่า มันไม่มีอะไรที่น่ากลัว ยิ่งไปกว่าความเกิดชนิดนี้แล้ว มันยิ่งกว่าตกนรก หรืออะไรทั้งหมด เกิดขึ้นมาทีไร เป็นสูญคนเสียคนไม่มีอะไรเหลือ

เมื่อมีความอาย และ ความกลัว อย่างนี้บ่อย ๆ แล้วสติมันจะไม่กล้าเผลอของมันเอง การปฏิบัติก็จะดีขึ้นตามลำดับจนเป็นผู้ที่มีการ ìดับไม่เหลือî อยู่เป็นประจำ ทุกคํ่าเช้าเข้านอน ต้องมีการคิดบัญชีเรื่องเกี่ยวกับการดับไม่เหลือนี้ให้รู้รายรับรายจ่ายไว้เสมอไป ข้อนี้มีอานิสงส์สูงไปกว่าไหว้พระสวดมนต์ หรือทำสมาธิเฉย ๆ

เรื่องเกี่ยวกับดับไม่เหลือทำนองนี้ ไม่เกี่ยวกับการเพ่งหรือหลับตาเห็นสีเห็นดวงหรืออะไรที่แปลก ๆ เป็นทำนองปาฏิหาริย์หรือศักดิ์สิทธิ์ แต่เกี่ยวกับสติปัญญา หรือ สติสัมปชัญญะ โดยตรงเท่านั้น อย่างมากที่สุดที่มันจะสำแดงออกก็เพียงถ้ามีสติสมบูรณ์จริง ๆ ได้ที่เต็มที่แล้วก็สำแดงออกมาเป็นความเบากายเบาใจ สบายกายสบายใจอย่างที่บอกไม่ถูกเท่านั้นเอง ถึงกระนั้นก็อย่านึกถึงเรื่องนี้จะดีกว่า เพราะจะกลายเป็นที่ตั้งของอุปาทานอันใหม่ ขึ้นมาแล้วมันก็จะดับไม่ลง และมันจะ ìเหลือî อยู่เรื่อยคือเกิดเรื่อยทีเดียว เดี๋ยวจะได้กลุ้มกันใหญ่และยิ่งไปกว่าเดิม

พวกที่ทำวิปัสสนาไม่สำเร็จ ก็เป็นเพราะคอยจับจ้องเอาความสุขอยู่เรื่อยไป มุ่งนิพพานตามความยึดถือของตนอยู่เรื่อยไป มันก็ดับไม่ลง หรือนิพพานจริง ๆ ไม่ได้ มีตัวกูเกิดในนิพพานแห่งความยึดมั่นถือมั่นของตนเองเสียเรื่อย

ฉะนั้น ถ้าจะภาวนาบ้างก็ต้องภาวนาว่า ไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น แม้แต่สิ่งที่เรียกว่านิพพานนั่นเอง ìสพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย - สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นî

สรุปความว่า ทุกคํ่าเช้าเข้านอน ต้องทำความแจ่มแจ้งเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้แจ่มกระจ่างอยู่เสมอจนเคยชินเป็นนิสัย จนหากบังเอิญตายไปในเวลาหลับ ก็ยังมีหวังที่จะไม่เกิดอีกต่อไปอยู่นั่นเอง มีสติปัญญาอยู่เรื่อยอย่าให้อุปาทานว่า ìตัวกูî หรือ ìของกูî เกิดขึ้นมาได้เลยในทุก ๆ กรณี ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งตื่นและหลับ

นี้เรียกว่า เป็นอยู่ด้วย ความดับไม่เหลือ หรือ ความไม่มีตัวตน มีแต่ธรรมะอยู่ในจิตที่ว่างจากตัวตนอยู่เสมอไป เรียกว่าตัวตนไม่ได้เกิด และมีแต่การดับไม่เหลืออยู่เพียงนั้น ถ้าเผลอไป ก็ตั้งใจทำใหม่เรื่อย ไม่มีการท้อถอยหรือเบื่อหน่าย ในการบริหารใจเช่นนี้ ก็เช่นเดียวกับเราบริหารกายอยู่ตลอดเวลานั้นเหมือนกัน ให้ทั้งกายและใจได้รับการบริหารที่ถูกต้อง คู่กันไปดังนี้ ในทุกกรณีที่ทำอยู่ทุกลมหายใจเข้า - ออก เป็นอยู่ด้วยปัญญาไม่มีความผิดพลาดเลย

ทีนี้ก็มาถึง วิธีปฏิบัติอย่างที่ ๒ คือในเวลาจวนเจียนจะดับจิตนั้น อยากจะกล่าวว่ามันง่ายเหมือนตกกระไดแล้วพลอยกระโจน มันยากอยู่ตรงที่ไม่กล้าพลอยกระโจนในเมื่อพลัดตกกระไดมันจึงเจ็บมาก เพราะตกลงมาอย่างไม่เป็นท่าเป็นทาง ไหน ๆ เมื่อร่างกายนี้มันอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จิตหรือเจ้าของบ้านก็พลอยกระโจนตามไปเสียด้วยก็แล้วกัน

ให้ปัญญา กระจ่างแจ้งขึ้นมา ในขณะนั้น ว่าไม่มีอะไรที่น่าจะกลับมาเกิดใหม่เพื่อเอาเพื่อเป็น เพื่อหวังอะไรอย่างใดต่อไปอีก หยุด สิ้นสุด ปิดฉากสุดท้ายกันเสียที เพราะไปแตะเข้าที่ไหนมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไรเข้าที่ไหน หรือได้อะไรที่ไหนมา จิตหมดที่หวังหรือความหวังละลายไม่มีที่จอด มันจึงดับไปพร้อมกับกายอย่างไม่มีเชื้อเหลือ มาเกิดอีก

สิ่งที่เรียกว่า เชื้อ ก็คือความหวัง หรือความอยาก หรือความยึดมั่นถือมั่น อยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั่นเอง

สมมติว่าถูกควายขวิดจากข้างหลัง หรือรถยนต์ทับหรือตึกพังทับ ถูกลอบยิง หรือถูกระเบิดชนิดไหนก็ตาม ถ้ามีความรู้สึกเหลืออยู่ แม้สักครึ่งวินาทีก็ตาม จงน้อมจิตไปสู่ความดับไม่เหลือ หรือทำความดับไม่เหลือเช่นว่านี้ให้แจ่มแจ้งขึ้นในใจ เหมือนที่เราเคยฝึกอยู่ทุกคํ่าเช้าเข้านอนตื่นขึ้นมา ในขณะนั้นทำให้จิตดับไป ก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการ ìตกกระไดพลอยโจนî ไปสู่ความดับไม่มีเชื้อเหลือ

ถ้าหากจิตดับไปเสีย โดยไม่มีเวลาเหลืออยู่สำหรับให้รู้สึกได้ ดังนั้น ก็แปลว่า ถือเอาความดับไม่เหลือที่เราพิจารณาและมุ่งหมายอยู่เป็นประจำใจ ทุกคํ่าเช้าเข้านอนนั่นเอง เป็นพื้นฐานสำหรับการดับไป มันจะเป็นการดับไม่เหลืออยู่ดี ไม่เสียท่าเสียทีแต่ประการใด อย่าได้เป็นห่วงเลย

ถ้า ป่วย ด้วยโรคที่เจ็บปวด หรือทนทรมานมาก ก็ต้องทำจิตเบ่งรับ ว่าที่ยิ่งเจ็บมากปวดมากนี้แหละมันจะได้ดับไม่เหลือเร็วเข้าอีก เราขอบใจความเจ็บปวดเสียอีก เมื่อเป็นดังนี้ ปีติในธรรม ก็จะข่มความรู้สึกปวดนั้นไม่ให้ปรากฏ หรือปรากฏแต่น้อยที่สุด จนเรามีสติสมบูรณ์อยู่ดังเดิม และเยาะเย้ยความเจ็บปวดได้

ถ้าป่วยด้วยโรค เช่นอัมพาตและต้องตายด้วยโรคนั้น ก็ให้ถือว่าตัวเราสิ้นสุดไป ตั้งแต่ขณะที่โรคนั้นทำให้หมดความรู้สึกนั้นแล้ว ที่เหลือนอนตาปริบ ๆ อยู่นี้ ไม่มีความหมายอะไร ทั้งนี้เพราะว่าจิตของเราได้สมัครน้อมไปเพื่อความดับไม่เหลือเสร็จสิ้นแล้ว ตั้งแต่ก่อนล้มเจ็บเป็นอัมพาต หรือตั้งแต่ความรู้สึกยังดี ๆ อยู่ ในการเป็นอัมพาตตลอดเวลาที่มีความรู้สึก

ครั้นหมดความรู้สึกแล้ว มันก็เลิกกัน แม้ว่าชีวิตยังไม่ดับ ทันที มันก็ หามีตัวตนอะไรที่เป็นตัวกูหรือของกู ที่ไหนไม่.

อย่าได้คิดเผื่อให้มากไป ด้วยความเขลาของตัวเองเลย ยังดี ๆ อยู่นี่แหละรีบทำความดับไม่เหลือเสีย ให้สมบูรณ์ด้วยสติปัญญาเถิด มันจะรับประกันได้ไปถึงเมื่อเจ็บ แม้ในกรณีที่เป็นโรคอัมพาตดังกล่าวแล้ว ไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ หรือเสียท่าเสียทีแก่ความเจ็บแต่ประการใดเลย เพราะเราทำลาย ìตัวกูî ให้หมดความเกิดเสียแล้วตั้งแต่เมื่อร่างกายยังสบาย ๆ อยู่นั่นเอง นี้เร่ียกว่าดับหมดแล้วก่อนตาย

สรุปความในที่สุด วิธีปฏิบัติทั้ง ๒ ชนิดก็คือ จงมีจิตที่มีปัญญาแท้จริง มองเห็นอยู่ว่า ไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่นแม้แต่สักสิ่งเดียว ในจิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นโดยสิ้นเชิง อย่างนี้แหละ ìไม่มีตัวกูî หรือ ìของกูî มีแต่ธรรมะที่เป็นความหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเราจะสมมติเรียกว่าพระรัตนตรัย หรือ มรรค ผล นิพพาน หรืออะไรที่เป็นยอดปรารถนาของคน ยึดมั่นถือมั่นนั้นได้ทุกอย่าง แต่เราไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานในสิ่งเหล่านั้นเลย จึงดับไม่เหลือ หรือนิพพานได้จริง สมชื่อ
นิ แปลว่า ไม่เหลือ พาน แปลว่า ไป หรือ ดับ นิพพาน จึงแปลว่า ดับไม่เหลือ เป็นสิ่งที่มีลักษณะความหมาย การปฏบัติ และอานิสงส์อย่าง
ที่กล่าวมานี้แล

ข้อความทั้งหมดนี้ยังย่ออยู่มาก แต่ถ้าขยันอ่านและพินิจพิจารณาอย่างละเอียดไปทุกอักษร ทุกคำ ทุกประโยคแล้ว ก็คงจะพิสดารได้ในตัวมันเอง และเพียงพอแก่การเข้าใจและปฏิบัติ ฉะนั้น หวังว่าคงจะอ่านจะฟังกันอยู่เป็นประจำโดยไม่ต้องคำนึงว่ากี่เที่ยวกี่จบ จนกว่าจะเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งโดยปัญญา และมั่นคงโดยสมาธิ นำมาใช้ได้ทันท่วงทีด้วยสติ สมตามความประสงค์ ทุกประการ.

ศัตรูคือผู้จู่มาสอบไล่

อันศัตรู คือผู้จู่ มาสอบไล่
ให้รู้ได้ ว่าเรามี ดีเท่าไหน
หรือดีแต่ จะโกรธยืน เป็นฟืนไฟ
บังคับใจ ไว้ไม่อยู่ สักครู่เดียว

อันศัตรู คือผู้สรรค์ สวรรค์ให้
ตรงที่ได้ มีจิต คิดเฉลียว
ว่าอดกลั้น นั่นแหละนะ เป็นพระเทียว
ไม่อด, เลี้ยว ไปเป็นมาร พล่านนรก

อันศัตรู คือผู้สอน สัจธรรม
ว่าอาฆาต นั่นคือนํ้า สกปรก
อย่าเก็บไว้ ในใจ ให้ใจฟก
จะเวียนวก ว่ายสงสาร นานนักเลย

เหตุฉะนั้น ศัตรู คือผู้ให้
แต่กลายเป็น ผู้ร้าย เหตุไรเหวย
เพราะผู้รับ รับไม่เป็น อย่างเช่นเคย

ถ้ารับเป็น พวกเราเอ๋ย หมดศัตรู

หนังสือธรรมะของ หลวงพ่อพุทธทาส ที่จัดพิมพ์ใหม่ (สนับสนุนค่าจัดพิมพ์เล่มละ 20 บาท)
ท่านสามารถคลิ๊กที่ภาพหนังสือเล่มนี้ เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
หนังสือธรรมะ เรื่อง ยาระงับสรรพโรค โดย หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ

ความรู้ เรื่องเกี่ยวกับพิธีการทำบุญ
และอนุโมทนาวิธีตามหลักพระพุทธศาสนา

ศูนย์จำหน่ายพระไตรปิฎก ทั่วประเทศ

มีพระไตรปิฎกที่สังคายนาไว้ดี
ก็ใช้สังคายนาคนได้ด้วย

การสังคายนานั้น เป็นการรักษาพระธรรมวินัยคือ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้ให้คงอยู่อย่างดีที่สุด
คือให้แม่นยำตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เท่าที่เป็นไปได้ 
ระยะเริ่มแรก ก็มีการประมวลรวบรวมและรักษาไว้ 
แต่ระยะหลังต่อๆ มา มีแต่การรักษาอย่างเดียว
ให้คงอยู่อย่างเดิม ให้บริสุทธิ์ แม่นยำที่สุด จะตัด จะต่อ
จะแต่ง จะเติม อย่างไรไม่ได้ทั้งสิ้น ถ้าไปตัดต่อ หรือแต่งเติม
ก็จะกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป คือของปลอมหรือของเทียม 
เพราะฉะนั้น ในยุคที่มีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว
เวลาสังคายนาก็คือการที่เอาพระไตรปิฎกฉบับต่างๆ
เท่าที่มีอยู่เป็นหลักในประเทศต่างๆ มาตรวจสอบทานกัน
เช่น ฉบับของไทย ของพม่า ของลังกา เป็นต้น เท่าที่มีอยู่ในประเทศ
(อ่านบทความเพิ่มเติม คลิ๊กที่ภาพ) 

พระไตรปิฎก หมายถึงอะไร

บทความ : ความรู้
พระไตรปิฎก เป็นแหล่งรวมสรรพวิทยา เป็นคลังวรรณกรรมขนาดใหญ่

มีคำสอนหลายชั้น หลายระดับ หลายแนว หลายลักษณะ ที่สามารถสนอง
ความใฝ่รู้ของทุกคน ที่แม้จะมีภูมิปัญญาต่างกันเมื่อรู้อย่างนี้ ชาวพุทธ 
จึงควรศึกษา 
พระไตรปิฎก พร้อมศาสตร์อื่นๆ เพื่อบูรณาการความรู้ 
โดยมิปิดกั้นตนเอง // 

หากมองแง่นี้ คัมภีร์หลัก “พระไตรปิฎก” มิใช่มีเฉพาะเรื่องสำหรับชาวพุทธ 
ที่ต้องอ่าน ต้องรู้ ผู้ใฝ่รู้ ที่ไม่ยอมปิดกั้นตัวเอง

แม้ไม่ใช่ชาวพุทธก็ควรอ่าน ควรศึกษา จะพบความน่าทึ่งหลายรูปแบบแฝง
อยู่ในนั้น ในเรื่องนี้ สำหรับคนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ อาจเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มอ่าน
เล่มไหนก่อน พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย “นับรวมได้ถึง 22,379 หน้า 
หรือ เป็นอักษรไทย ประมาณ 24,3000,000 ตัว แต่ละปิฎก 
มีการแบ่งหมวดหมู่ บทตอน ซอยออกไปมากมายซับซ้อน 

(อ่านบทความเพิ่มเติม คลิ๊กที่ภาพ) 

พระไตรปิฎก เป็นฐานของสรรพวิชา 6 แขนง

บทความ : ความรู้
มองพระไตรปิฎก เป็นฐานของสรรพวิชา 6 แขนง


เราคุ้นเคยพระไตรปิฎกในฐานะเป็นคัมภีร์ศาสนา แต่ถ้าเรียกชื่อเปลี่ยน จากคัมภีร์เป็นวรรณคดีรู้สึกได้เลยว่า ความศักดิ์สิทธิ์ย่อมลดลง พร้อมถามว่า พระไตรปิฎกเป็นวรรณคดี ได้อย่างไรวรรณคดี เป็นเรื่องสมมุติ เป็นจินตนาการที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น แต่พระไตรปิฎก เป็นวรรณคดี โดยอนุโลม เรียกว่า วรรณคดีปากเปล่า ซึ่งเล่าต่อปากสืบกันมา ภาษาในพระไตรปิฎก มีทั้งภาษากวี และภาษาธรรมดา ที่มนุษย์ ใช้สื่อกันตามปกติในภาษาไทย วรรณคดีกับวรรณกรรม แปลจากคำว่า Literature แต่คำบัญญัติของไทย ใช้คำต่างกัน และมีความหมายต่างกัน หนังสือและวรรณคดี // ทุกเรื่องเป็นวรรณกรรม แต่จะมีวรรณกรรมเพียงบางเรื่อง ที่มีคุณค่าทางวรรณศิลป์สูง พระไตรปิฎก ได้รับยกย่องว่าเป็นวรรณคดี เมธีชนจึงศึกษาพระไตรปิฎกบาลี Pali Tipitaka 

(อ่านบทความเพิ่มเติม คลิ๊กที่ภาพ) 

บทความธรรมะ เรื่อง หาสุขได้จากทุกข์ โดย หลวงพ่อพุทธทาส
การสวดปาฏิโมกข์ต่างจากการสังคายนาอย่างไร? การสวดปาฏิโมกข์ต่างจากการสังคายนาอย่างไร?
เสียงธรรมพุทธทาส 7 ภาพวาด ที่บอกเล่าเรื่องราว  ครั้งสำคัญประวัติศาสตร์ ของพระพุทธศาสนา


ท่านได้อะไรเมื่อไปงานศพ
ท่านได้อะไร เมื่อไปงานศพ?

บทความ จาก หนังสือคู่มือมนุษย์
อ่านบทความ ในหนังสือ คู่มือมนุษย์
สวดมนต์ ทำสมาธิ รักษาโรคได้จริง
สวดมนต์ รักษาโรคภัย ได้จริง?
บททดสอบใจ และเตือนใจให้นึกถึงความจริง(ความตาย)
การทำใจยอมรับความจริง : บทความ
คาถาชะลอวัย-ที่พระพุทธเจ้าทรงได้เคยประทานไว้
อยากอายุยืน ต้องทำดังนี้?
สร้างวาสนา
ความกตัญญ ทำให้มี วาสนา ู : บทความ

การชำระและการจารึกพระไตรปิฎก ในรัชกาลที่1 ที่มาของพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกมาจากไหน
ความเศร้าหมองของศีล<br>                             แ ล ะ ค ว า ม ผ่ อ ง แ ผ้ ว ข อ ง ศี ล
ความเศร้าหมองของศีล
แ ล ะ ค ว า ม ผ่ อ ง แ ผ้ ว ข อ ง ศี ล
เคล็ดลับอายุยืนจากพระไตรปิฎก
เคล็ดลับอายุยืนจากพระไตรปิฎก
   
   


บทความ : พระพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา

พระไตรปิฎกเกิดขึ้นได้อย่างไร
📜พระไตรปิฎก เกิดขึ้นได้อย่างไร

พระไตรปิฎกแบบท่องจำ มีความแม่นยำเพียงไร
พระไตรปิฎกท่องจำ-แม่นยำเพียงไร 

พระไตรปิฎก ที่มีการจดเป็นลายลักอักษรณ์ แม่นยำเพียงไร?
พระไตรปิฎก ที่มีการจด
เป็นลายลักอักษรณ์ แม่นยำเพียงไร? 

 

โหลดบทเพลงสวดมนต์ฟังสบายๆ ที่นี่ 19 บทสวด

ดาวน์โหลดและฟังMP3ธรรมะของหลวงพ่อพุทธทาส

สาระน่ารู้เกี่ยว
กับเรื่องการทำบุญและพิธีสงฆ์

หลักมหาประเทส4
หลักมหาประเทส4

 

บุรพกรรมของพระเจ้าอโศกบุรพกรรมของพระเจ้าอโศกมหาราช

01.พิธีการทำบุญ"หาฤกษ์"

02.การทำบุญในงานพิธี

03.การถวายสังฆทาน-หรือ-การถวายทาน

04.ระเบียบพิธีในการถวายสังฆทาน

05.ประโยชน์/โทษ/ของการหาฤกษ์

06.พิธีการและขั้นตอนการทำบุญเลี้ยงพระ

07.ประโยชน์ของพิธีกรรมทางศาสนา

08.เรื่องของการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล

09.คำถวายตู้และหนังสือพระไตรปิฎก

010.คำอุทิศแผ่บุญกุศล ของผู้ถวายพระไตรปิฎก

011.เมื่อจิตหดหู่เราควรเจริญธรรมข้อใด


ประมวลภาพประทับใจและพระราชดำรัส
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9



สุดยิ่งใหญ่ !!! ประวิติศาสตร์ต้องจารึก "คณะสงฆ์ญี่ปุ่น" 
จัดพิธีบำเพ็ญกุศล "ในหลวงรัชกาลที่9"

 


บทสวดมนต์ พิเศษต่างๆ

พระไตรปิฎกคืออะไร ทำไมถึงสำคัญมาก
พระไตรปิฎกคืออะไร ทำไมถึงสำคัญมาก 


เรื่อง ความซับซ้อนของกรรม

สมเด็จพระราชาคณะองค์ใหม่ปราชญ์แห่งธรรมผู้นำปัญญา
สมเด็จพระราชาคณะองค์ใหม่
ปราชญ์แห่งธรรมผู้นำปัญญา

 

มุตโตทัย หลักการทำงาน รักษาศีล เจริญภาวนา ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
มุตโตทัย หลักการทำงาน รักษาศีล
เจริญภาวนา ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต 


ดาวน์โหลดหนังสือ  “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”
12.ดาวน์โหลดหนังสือ 
“พระบาทสมเด็จพระปรมิน
ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”


13. โหลด E-BOOK
99 พระบรมราโชวาท น้อมนำราษฎร์ร่มเย็นเป็นสุขศานต์ 

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต )
21ความหมายของคำว่า ปาฏิหาริย์

 

ชื่นชม ...เด็กชายวัย 8 ขวบ  ปลูกผักปลอดสารพิษ เพื่อใช้จ่ายค่าเทอมชื่นชม ...เด็กชายวัย 8 ขวบ
ปลูกผักปลอดสารพิษ เพื่อใช้จ่ายค่าเทอม

ท่องแดนนรกภูมิ กับพระมาลัยฟัง ท่องแดนนรกภูมิ กับพระมาลัย

มนุษย์ คือ สัตว์ผู้ต้องศึกษา  ชีวิตที่ดี คือชีวิตแห่งการศึกษา
มนุษย์ คือ สัตว์ผู้ต้องศึกษา 
ชีวิตที่ดี คือชีวิตแห่งการศึกษา 

 

09.คำถวายถวายตู้และหนังสือพระไตรปิฎก
คำถวายหนังสือพระไตรปิฎกและอรรถกถา
พร้อมทั้งตู้พระไตรปิฎกถวายวัด 

 



โต๊ะหมู่บูชา หมู่ 7 หน้ากว้าง 7 นิ้ว จากไม้สักทั้งชุด

 

 

 

 


ศูนย์จัดพิมพ์หนังสือธรรมะ จัดส่งทั่วประเทศ ในราคาโรงพิมพ์ธรรมทาน
แทรกรายชื่อผู้ร่วมจัดพิมพ์หนังสือพระไตรปิฎก

เชิงเทียน-และงานพุทธศิลป์